วันอาทิตย์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2560

Soest มนต์เสน่ห์แห่ง Deutschland

โซสท์ (SOEST)” มนต์เสน่ห์แห่ง ดอยช์แลนด์ (DEUTSCHLAND)

ถ้าพูดถึงดินแดนที่มีชื่อว่า ดอยช์แลนด์ (Deutschland)เชื่อว่าน้อยคนนักที่จะรู้จักว่าคือที่ไหนบนโลกใบนี้ แต่ถ้าพูดใหม่ว่าดินแดนนั้นคือ ประเทศเยอรมนี ก็คงไม่มีใครที่จะไม่รู้จักที่นี่
สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (Federal Republic of Germany)มีชื่อที่เป็นภาษาท้องถิ่นของประเทศนั้นว่าดอยช์แลนด์ (Deutschland) เป็นดินแดนหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในทวีปยุโรป มีพรมแดนติดต่อกับหลายประเทศ เช่น โปแลนด์ สาธารณรัฐเช็ก ออสเตรีย สวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส ลักเซมเบิร์ก เบลเยี่ยม และเนเธอร์แลนด์ และเป็นดินแดนแห่งหนึ่งที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาอันยาวนาน มีความเจริญในทุก ด้านเป็นอันดับต้น ของโลก
แต่ยังคงมีเมืองเล็ก เมืองหนึ่งซึ่งยังคงสภาพบ้านเมืองและวิถีชีวิตแบบชนบทเอาไว้ นั่นคือเมืองที่มีชื่อว่า โซสท์ (Soest)และผู้คนบนโลกก็มักจะสับสนเพราะยังมีเมืองชี่อเดียวกันอยู่อีกที่ประเทศเนเธอร์แลนด์
เมือง โซสท์ (Soest)แห่งนี้เป็นเมืองเล็ก ในแคว้นทางตอนเหนือของเยอรมนี พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เกษตรกรรม และบางส่วนถูกเปลี่ยนเป็นโรงงานอุตสาหกรรมขนาดเล็ก ลักษณะทั่วไปของเมืองนี้คือ มีกำแพงเมืองโบราณและป้อมปราการล้อมรอบตรงใจกลางเมือง หรือเป็นเมืองที่มีลักษณะเป็นเมืองสองชั้น ลักษณะสิ่งก่อสร้าง อาคารบ้านเรือนต่าง ยังคงเป็นรูปแบบเมืองเก่า ตึกสำนักงานและอาคารสูงตามแบบสมัยใหม่จึงยังคงไม่มีให้เห็นในเมืองนี้ และหากท่านใดต้องการเที่ยวจับจ่ายซื้อสินค้าแฟชั่น หรือเดินห้างสรรพสินค้า ที่นี่จึงไม่ใช่ตัวเลือกของท่านอย่างแน่นอน

วันหยุดสุดสัปดาห์กับการเดินเล่นชิว ๆ ใจกลางเมือง
ตลาดใจกลางเมืองกับผู้คนที่มาเดินซื้อของในวันหยุด 
เช้าวันหยุดมักจะมีผู้คนออกมานั่งกันที่ใจกลางเมือง
ถึงแม้ว่าเมืองนี้จะเป็นเมืองชนบทที่อยู่ห่างไกลแต่การเดินทางมายังที่นี่ก็ไม่ถือเป็นเรื่องลำบากมากนัก เพราะประเทศเยอรมนีจัดได้ว่ามีระบบคมนาคมขนส่งที่เชื่อมต่อถึงกันทั่วประเทศ ผู้ที่เดินทางมายังโซสท์ (Soest) ส่วนใหญ่จะเดินทางโดยรถไฟความเร็วสูงที่เชื่อมต่อจากสนามบินนานาชาติแฟรงก์เฟิร์ต (Frankfurt am Main) มายังสถานีรถไฟโซสท์ (Bahnhof-Soest) โดยใช้เวลาราว 2 ชั่วโมงหากเดินทางด้วยรถไฟขบวนเที่ยวเดียว และอาจใช้เวลาเพิ่มขึ้นหากซื้อตั๋วรถไฟประเภทที่มีการเปลี่ยนสถานี

Bahnhof Soest หรือสถานีรถไฟ Soest ที่สามารถเดินทางมาที่นี่ได้จากสนามบินแฟรงก์เฟิร์ต


ขอลงรูปตัวเองนิดนึงครับ

วิถีชีวิตของผู้คนในเมืองนี้เป็นไปอย่างเรียบง่าย ซึ่งจะสังเกตุเห็นได้ว่าผู้คนส่วนใหญ่เดินทางโดยใช้รถประจำทางและจักรยานเป็นหลัก ที่นี่มีประชากรราว 50,000 คน และมีชุมชนคนไทยที่อาศัยอยู่อีกด้วย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นนักศึกษาที่มาศึกษาต่อในระดับบัณฑิตศึกษาที่มหาวิทยาลัยประจำเมืองนี้ เนื่องด้วยค่าใช้จ่ายและค่าครองชีพที่ไม่สูงมาก การจัดการในเรื่องต่าง เช่น การหาที่อยู่อาศัย การขอวีซ่า ก็เป็นเรื่องที่ไม่ยากนัก จึงมีคนไทยไม่น้อยที่มาศึกษาต่อและมาพักอาศัยอยู่ในเมืองแห่งนี้ มีการพบปะสังสรรกันเป็นประจำและให้การต้อนรับคนไทยที่มาเยือนตลอด โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลที่มีการจัดกิจกรรมต่าง อยู่ในส่วนใจกลางเมือง และที่ขาดไม่ได้คือการดื่มเบียร์เยอรมัน ซึ่งหากใครได้ไปเยือนดินแดนที่มีฉายาว่า เมืองเบียร์ก็พลาดไม่ได้ที่จะไปลิ้มลองรสชาติว่าแตกต่างจากบ้านเราหรือไม่
วิถีชีวิตของผู้คนที่นี่ ที่มักจะออกมานั่งตากแดดอุ่น ๆ พร้อมจิบกาแฟ

อากาศวันนี้เริ่มที่จะอุ่นขึ้นมาบ้างครับ หลังจากที่หนาวมาหลายวัน


การดื่มเบียร์ถือเป็นความนิยมอย่างหนึ่งของชาวเมืองโซสท์ เนื่องด้วยราคาที่ไม่แพงและมีหลายแบบหลายยี่ห้อให้เลือก แต่ในประเทศเยอรมนีอนุญาติให้เฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 16 ปีขึ้นไปดื่มเบียร์หรือไวน์ได้ และหากเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประเภทอื่น เช่น เหล้าหรือวิสกี้ ผู้ดิ่มจะต้องมีอายุมากกว่า 18 ปีขึ้นไปเท่านั้น วัฒนธรรมการดื่มเบียร์ของผู้คนที่นี่จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว นั่นคือการชนแก้วกันเพื่อเฉลิมฉลองนั้น จะต้องสบตาฝ่ายตรงข้ามทุกครั้ง มิฉะนั้นจะถือเป็นการเสียมารยาทในการดื่ม

Krombacher ยี่ห้อยอดนิยมที่หาซื้อได้ในราคาถูกกว่านํ้าเปล่า !!!

อันนี้จำยี่ห้อไม่ได้ครับ รู้แต่เป็นเบียร์ Alcohol Free หรือ เบียร์ไร้แอลกอฮอล์

เบียร์เทศกาล

แก้วนี้ หนักจริง !!

นอกจากความนิยมในการดื่มเบียร์แล้ว อาหารที่ชาวเมืองโซสท์ (Soest) นิยมรับประทานส่วนใหญ่ เป็นอาหารจำพวกขนมปังและเนื้อสัตว์ เช่น ไส้กรอกเยอรมัน เคบัฟ และพิซซ่า โดยจะรับประทานพร้อมกับซอสผงกะหรี่และมันบด การปรุงอาหารส่วนใหญ่ของผู้คนยังคงนิยมใช้เตาถ่านแทนการใช้เตาแก๊สหรือเตาไฟฟ้า เพื่อให้อาหารมีความหอมและมีรสชาติที่อร่อยตามแบบฉบับดั้งเดิม ซึ่งจะพบเห็นเตาอบที่ใช้ถ่านได้ตามบ้านและร้านอาหารแทบทุกที่ การหาซื้อวัตถุดิบมาปรุงอาหารส่วนใหญ่จะหาได้จากร้านสะดวกซื้อทั่วไป และอีกสิ่งที่จะพบได้ตามร้านสะดวกซื้อที่แตกต่างจากเมืองไทยคือ ทุก ร้านจะมีตู้รับซื้อขวดเปล่าที่ทิ้งแล้ว โดยสามารถนำขวดน้ำพลาสติก ขวดเบียร์ ขวดแก้วต่าง มาหยอดลงที่ตู้ จากนั้นเครื่องจะคำนวณประเภทและน้ำหนักเป็นมูลค่าเงิน และจะพิมพ์คูปองส่วนลดเพื่อนำไปใช้ในการซื้อสินค้าของร้านนั้น ต่อไป






ด้วยสภาพภูมิอากาศที่ค่อนข้างเย็นตลอดทั้งปี จึงมีผลต่อชีวิตความเป็นอยู่และสถาปัตยกรรมของสิ่งก่อสร้างต่าง เป็นอย่างมาก อาคารบ้านเรือนรวมถึงสิ่งปลูกสร้างในเมืองนี้จะถูกสร้างจากอิฐที่มีลักษณะค่อนข้างทึบ มีห้องใต้ดินและห้องใต้หลังคา บ้านเรือนแทบทุกหลังจะนิยมสร้างสวนหย่อมขนาดเล็กที่บริเวณหน้าบ้านเพื่อทำกิจกรรมครอบครัวในช่วงฤดูร้อน นั่นคือช่วงเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคมโดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 18 - 20 องศา และในช่วงที่อากาศอุ่นมีแสงแดดมักจะมีผู้คนมานั่งพักผ่อนดื่มกาแฟกันที่บริเวณโบสถ์ใจกลางเมือง รวมถึงสวนสาธารณะต่าง ทั่วเมือง






เนื่องจากเมืองโซสท์ (Soest) เป็นเมืองชนบททางตอนเหนือ ดังนั้นผู้คนที่นี่ส่วนใหญ่จะไม่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร ซึ่งอาจเป็นเรื่องลำบากสำหรับชาวต่างชาติที่ต้องมาที่นี่ เพราะนอกจากชาวเมืองจะไม่นิยมพูดภาษาอังกฤษแล้ว ทุกอย่างในเมือง เช่น ป้ายจราจร ป้ายประกาศตามสถานที่ต่าง รายการอาหาร จะเป็นภาษาเยอรมันแทบทั้งสิ้น มีเพียงแผนที่สำหรับนักท่องเที่ยวเพียงใบเดียวที่พิมพ์ด้วยภาษาอังกฤษ อย่างไรก็ตามผู้คนที่นี่ก็พยายามจะสื่อสารกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และก็พยายามสอนคำพูดบางคำที่เป็นภาษาเยอรมันให้กับชาวเอเชียอย่างเรา
ดังนั้นการได้ไปเยือนดินแดนห่างไกลที่ยังคงมีวิถีชีวิต สิ่งปลูกสร้าง สังคมและวัฒนธรรม ตลอดจนสภาพแวดล้อมต่าง ที่ยังคงความเป็นยุโรปในแบบเก่า ท่ามกลางความเจริญก้าวหน้าของสังคมเมืองอื่น ที่เต็มไปด้วยตึกขนาดใหญ่ และความเจริญในแบบสังคมเมืองสมัยใหม่ ก็นับว่าไม่ง่ายนักที่จะมีโอกาสได้สัมผัสบรรยากาศเหล่านี้ อีกทั้งยังได้รับการต้อนรับ การดูแลที่อบอุ่นจากชาวไทยที่อาศัยอยู่ในต่างแดน เรียกได้ว่าเป็นความทรงจำที่ดี และพลาดไม่ได้ที่จะต้องถ่ายเก็บเอาไว้เพื่อบันทึกความทรงจำไว้ตลอดไป

Casino Royal !!!





วันศุกร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2560

พระราชวังต้องห้าม

พระราชวังต้องห้าม 
Forbidden City, 北京, 中国
ชาวจีนจะเรียกพระราชวังต้องห้ามว่า พระราชวังกู้กง ในอดีตเคยเป็นที่ประทับของจักรพรรดิ ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของจตุรัสเทียนอันเหมิน และเป็นที่หวงห้ามไม่ให้ประชาชนเข้าในสมัยก่อน มีตำหนักน้อยใหญ่ถึง 9,999 ห้อง ในปัจจุบันพระราชวังแห่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของจีนและเป็นมรดกของโลกอีกด้วย
สาเหตุที่เรียกว่า พระราชวังต้องห้าม เนื่องจากสมัยก่อนสถานที่แห่งนี้เป็นเขตหวงห้ามไม่ให้คนทั่วไปเข้า แม้กระทั่งขุนนางก็ต้องขออนุญาติ สถานที่นี้เป็นที่ประทับของจักรพรรดิจีนซึ่งจะปิดกั้นจากโลกภายนอก โดยมีนางสนม ขันที และข้าหลวงรับใช้อาศัยอยู่ด้วยและต้องอยู่ไปตลอดทั้งชีวิต แม้ปัจจุบันระบบกษัตริย์จะสิ้นไปจากแผ่นดินจีนแล้ว แต่สถานที่แห่งนี้ก็ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของประเทศจีนจนถึงปัจจุบัน
อุปกรณ์ที่ใช้เก็บภาพครั้งนี้ก็ง่าย ครับ เป็นกล้อง Canon EOS550D + เลนส์ kit 18-55 ตัวเดิมๆ เนื่องจากไม่อยากพกอะไรไปมากมาย แต่ก็เก็บภาพมาแค่จุดสำคัญเท่านั้น เนื่องจากมีเวลาอยู่ที่นี่ค่อนข้างจำกัดและผมต้องไปที่อื่นต่อครับ
ต้องสารภาพเลยครับว่าที่นี่ใหญ่จนเดินไม่หมด เอาเป็นว่าก็เก็บภาพมาให้ดูกันบางส่วนละกันครับ

ทางเข้าด้านหน้าฝั่งจตุรัสเทียนอันเหมิน
จะมีรูปของท่านประธานเหมา เจ๋อ ตุง ซึ่งเป็นผู้นำคนสำคัญในประวัติศาสตร์จีนยุคใหม่
ในแต่ละวันจะมีนักท่องเที่ยวมาชมเป็นจำนวนมาก จุดเด่นที่สำคัญก็คือที่นี่เลยครับ ตำหนักไท่เหอ
บรรยากาศบริเวณลานหน้าตำหนัก
จะเห็นได้ว่าในแต่ละวันมีนักท่องเที่ยวมาชมเป็นจำนวนมาก
สถาปัตยกรรมต่าง ๆ โดยรอบซึ่งได้รับการดูและรักษาจากรัฐบาลจีนอยู่ตลอด ทำให้ดูไม่ทรุดโทรม

บริเวณภายนอกรอบพระราชวัง จะมีคูนํ้าอยู่เป็นปราการชั้นแรก
       หากท่านใดมีโอกาสเดินทางมายังปักกิ่ง และมีสไตล์การท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์แล้ว ผมรับรองได้ว่าท่านจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน